ถึงแม้ว่า คำคุ้นหูของบ้านเราจะเรียกอัญมณีหรือหินที่มีสีเขียวๆใส หรือ มีลายครามๆในเนื้อว่าหยกแต่ความจริงแล้ว เราสามารถจัดประเภทของหยกตามธรรมชาติจากแร่ธาตุสองชนิดนี้โดยเรียกเป็นชื่อได้ว่า หยกเจไดท์(Jadeite) กับ หยกแนฟไฟรท์(Nephrite) โดยเราเรียกสั้นๆว่า "หยก (JADE)" หรือ "Piece of Heaven" จากตำนานหยกนั้นมีเรื่องเล่าให้ฟังกันว่าย้อนไปเมื่อ 5,000 ปีที่แล้ว หยกได้ชื่อว่าเป็นอัญมณีจากสวรรค์เชื่อว่าหยกมีพลังเร้นลับสามารถผลักดันความเป็นสิริมงคลมาให้แก่ผู้บูชาซึ่งสืบทอดความเชื่อนี้มาแต่โบราณ ซึ่งความเชื่อนี้ถ่ายทอดออกมาให้เราพบเห็นทั่วไป เช่น เครื่องรางที่ทำด้วยหยกเป็นคล้ายๆเหรียญกลมๆ มีรูตรงกลาง หรือ กำไรหยก แหวนหยก คุณสมบัติที่สำคัญมากของหยกคือ ความแข็ง คือ มีความสามารถทนต่อการขูดขีดได้ดีมากๆ จากประวัติศาสตร์เราจะเห็นได้ว่า ตราประทับของพระเจ้าแผ่นดินก็มักจะทำขึ้นจากหยก ด้วยความที่หยกมีคุณสมบัติ เนื้อเหนียว แข็งแรง ทนทาน สามารถแกะสลักได้ ที่นี้เราจะให้จุดต่างตรงไหนเพื่อแยกความแตกต่างระหว่าง หยกเจไดท์(Jadeite) กับ หยกแนฟไฟรท์(Nephrite) หากจะสังเกตุอย่างง่ายๆ จากลักษณะทางกายภาพเช่น เนื้อผิวของทั้งสองหยกนี้จะแตกต่างกัน ดังนี้นะคะ ให้สังเกตุจากรูปด้านล่างกันก่อนนะคะ
หยกเจไดท์(Jadeite) จะมีลักษณะเนื้อผิวใสมีความแวววาวคล้ายแก้ว(vitreous-greasy surface luster, texture: Interlocking granular structure)
Greenish Imperial Jadeite |
Nephrite Jade Pendents |
ขอนำภาพหยกที่สวยระดับโลกมาให้ชมนะคะ แล้วคุณจะหลงรักหยกเหมือนเรา
Jade: Nephrite, Bowl at Natural Museum |
ก่อนที่เข้าสัมมนามักจะคิดว่า หยกต้องพบมากแน่ๆ ในประเทศจีน พอเรียนจบคงต้องไปหาความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับหยกมากขึ้นจริงๆ เพราะหยกมีพบมากในแถบประเทศเพื่อนบ้านเรา เช่น พม่า (มันดาเลย์)โดยพบมากในบริเวณตอนเหนือใกล้กับชายแดนประเทศจีน และ หยกที่พบนั้นจะมีหลากหลายสีมากๆ ถ้าให้เดา สีแรกเลย ทุกคนคงเดาว่า สีเขียว เหลือง เหลืองอมน้ำตาล ขาวขุ่น แดง ขอนำรูปมาให้ดูนะคะ (รูปด้านล่าง) ว่าหยกนั้นมีเสน่ห์และมีหลายหลากสีจริงๆ ผยิ่งหารูปและหาความรู้เกี่ยวกับหยกมากขึ้น มากขึ้น ผู้เขียนบล็อคเองยอมรับค่าว่า เริ่มหลงเสน่ห์ของหยกเข้าให้แล้ว เพราะว่าเข้าใจเลยว่าทำไม จึงถูกเรียกว่า เป็นอัญมณีจากสรวงสวรรค์(Piece of Heaven) เพราะความงดงามของเนื้อหยกที่ใสสวย หรือ ลวดลายในเนื้อหยกแต่ละชิ้นที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว อีกทั้งความสวยงามจากสีสรรในของหยกตามธรรมชาติที่อาจจะมีได้หลายสีในหยกชิ้นเดียวกันก็เป็นได้
Jadeite Jade in a variety of color, give special thanks and courtesy Mason-Kay Fine Jade Jewelry |
จากในรูป พบว่า มีของหยกในธรรมชาตินั้นมีหลากหลายชนิดมากๆ ที่มีสีที่สวยแปลกตา เช่น หยกสีลาเวนเดอร์ (Lavender Jade) คือหยกที่มีสีม่วงอ่อนๆ ส่วนหยกสีเหลืองที่ส่วนมากพบบริเวณเปลือกภายนอกก้อนสายแร่ของหยก
หินหรือแร่ตามธรรมชาติที่คล้ายหยก หรือที่เรียกว่า Simulants หรือ Imitation of Jade ช่างมีอยู่มากมายเหลือเกินเรียนเสร็จถึงกับกุมขมับว่าทำไมของเหมือนหยกถึงมีเยอะถึงเพียงนี้ เราจะแยกยังไงดีนะเนี่ยะ นี่ยังไม่นับรวมพวกสังเคราะห์และหยกตตามธรรมชาติที่ได้รับการปรับปรุงคุณภาพทางเคมีมาด้วยนะคะ ดังนั้นขอสรุปว่าการดูหยกให้ออกว่าเป็นหยกว่าแท้หรือไม่ และ เป็นหยกชนิดใดนั้น ต้องใช้ความเชี่ยวชาญเป็นพิเศษซึ่งเป็นงานที่ท้าทายและน่าศึกษาเพิ่มเติมเรื่อยๆ พูดง่ายๆก็คือ หากต้องการอทราบรายละเอียดของหยก หรือ ตรวจสอบคุณสมบัติต่างๆ หรือ ฟังธงหยกเม็ดนั้นๆเลยในรายละเอียดของคุณสมบัติ ควรส่งเข้าไปตรวจสอบในสถาบันอัญมณีที่ได้มาตรฐานและเป็นที่ยอมรับโดยตรง กรณีที่หยกชิ้นนั้นมีราคาสูงมากอย่าเสี่ยงซื้อก่อนได้รับการยืนยันว่าแท้จะดีกว่านะคะ เพราะหยกแต่ละชิ้นนั้น ไม่ได้ขายเป็นน้ำหนักเหมือนพลอยหรือ อัญมณีชนิดอื่นๆ แต่จะขายเป็นชิ้น ราคาก็จะตั้งตามความสวยงามแต่ละชิ้นหยก หากสวยมากราคาก็จะสูง หากมีตำหนิหรือไม่สวยราคาก็จะลดลงมาก และราคามักเกิดจากความพอใจและราคาตลาด ณ เวลานั้นๆ ไม่มีราคากลางนั่นเอง ตัวแรกที่เหมือนหยกมากและพบตามธรรมชาติใกล้ๆกันคือ ออมฟาไซค์(Omphacite), เซอร์เพนทีน(Serpentine), ฟลูออไรค์ (Fluorite), ควอร์ท (Quart), เป็นต้น
ได้เกริ่นนำการปรับปรุงคุณภาพของหยกโดยวิธีทางเคมีไปแล้ว ทำให้เราสามารถแบ่งคุณภาพของหยกตามธรรมชาติได้ดังนี้
๋A JADE คือ หยกตามธรรมชาติที่ไม่ผ่านกระบวนการปรับปรุงคุณภาพทางเคมีใดๆ ทั้งสิ้น หากเปรียบก็เหมือนผู้หญิงที่สวยงามตามธรรมชาติไม่ได้ไปศัลยกรรม ฉีดหน้า หรือ แต่งแต้มอะไรเลย สวยแบบนี้ภาษาหยกเราเรียกว่า "Imperial Jade" ตามรูปด้านบนอันแรกนะคะ
B JADE คือ หยกตามธรรมชาติที่มีการปรับปรุงคุณภาพโดยการเติมโพลีเมอร์เข้า่ไป
C JADE คือ หยกตามธรรมชาติที่มีการปรับปรุงคุณภาพโดยการเติมสี เข้าไป
B+C JADE คือ หยกตามธรรมชาติที่มีการปรับปรุงคุณภาพโดยการเติมโพลีเมอร์และสีเข้่าไป
ความเชื่อเกี่ยวกับการดูหยกแท้ (แต่ไม่ได้รับการยอมรับในทุกครั้ง)
1. หยกแท้ จับแล้วจะเย็น เนื่องจาก มีอัญมณีหรือหินตามธรรมชาติหลายอย่างคล้ายหยกมากและก็มีคุณสมบัติที่จับแล้วให้ความรู้สีึกเย็นเช่นกัน
2. นำเส้นผมพันรอบหยกแล้วเผาด้วยเปลวไฟ เส้นผมจะไม่ไหม้ ถ้าเทคนิคไม่ดีเป็นหยกแท้เส้นผมที่พันก็ไหม้นะคะ
3. เมื่อตี หรือ เคาะจะให้เสียงดังกังวาน เหตุผลเดียวกันกับข้างบนคือ มีอัญมณีหรือหินตามธรรมชาติหลายอย่างคล้ายหยกมากและก็มีคุณสมบัตินี้เช่นเดียวกันนะคะ เพราะฉะนั้นจะเหมารวมไปว่าหยกเมื่อตีแล้วต้องเสียงกังวานเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
จากประสบการณ์ที่ไปเรียนสัมมนามา 1 วัน กับการดูหยกคือ จับหยกส่องเข้ากับไฟนีออน หรือไฟฉายเล็กๆ ก็ได้นะคะ หยกจะมีลายเส้นในเนื้อเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว เหมือนกลุ่มก้อนเมฆบางๆ บนท้องฟ้า โดยในเนื้ออาจจะมีรอยแตกหรือรอยแยกตามธรรมชาติอยู่บ้าง บางคนที่ไปเรียนก็บอกว่าส่องหยกแล้วจะเป็นลายเส้นเหมือนดูผ่านสก็อตไบท์ ที่ใช้ล้างจานยังไงก็อย่างนั้น อันนี้แล้วแต่จินตนาการนะคะ แต่ยอมรับว่าหยกเนื้อดี นี่สวยยยยยยยยมากกกกกก จริงๆค่ะ
ไม่มีรูปหยกสวยๆของตัวเองเลย เผื่ออนาคตมีรูปสวยๆของหยกแล้วจะถ่ายรูปมาแชร์เพื่อนๆกันนะคะ
หาความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับหยกตามลิงค์ด้านล่างนี้นะคะ --> รวบรวมเก็บไว้ให้ตัวเองอ่านเพิ่มเติม
1. ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับหยก
2. GIA: JADE
3. แก่นแท้เครื่องประดับหยก
4. HK-Jade
5. The Jade Enigma
คีย์เวริด์: วิธีดูหยก, หยกแท้, การซื้อหยก, เจด
Keyword: Jade, Jadeite, Nephrite, Simulant, Jade imitation, How to buy jade
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น